วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

30 วิธีสลายความเครียด ภายใน 1 เดือน

30 วิธีสลายความเครียด ภายใน 1 เดือน

คลายเครียด


ด้วยภาวะโลกอันแสนจะวุ่นวายทุกวันนี้จากปัญหาต่าง ๆ ย่อมทำให้คนเราเครียดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ (หรือตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง น้ำท่วม) และสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจใช่มั้ยคะวันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้มาบอกค่ะ

          
 1. ดื่มชาเขียวเป็นประจำ จิบชาเขียวเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสิ่งรายล้อมอันแสนจะวุ่นวาย แถมยังทำให้สุขภาพดีด้วยนะ

          
 2. ตามใจตัวเองบ้างอะไรบ้าง การได้ให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองก็เป็นความสุขทางใจอีกทางนึงนะ และยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย เช่น สาว ๆ หลายคน มักจะผ่อนคลายความเครียดด้วยการช้อปปิ้ง หรือหาของหวานอร่อย ๆ ทาน (ซึ่งก็มักจะได้ผลดีด้วยนะ)

          
 3. หาหน้าจอสกรีนเซฟเวอร์ที่สบายตา หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เราต้องจ้องมองมันทั้งวัน อาจทำให้คุณปวดตาได้ ดังนั้นควรจะหาสกรีนเซฟเวอร์ที่ดูแล้วคลายความเครียด เช่น ภาพท้องทะเลที่สวยงามยามเย็น ท้องฟ้าครามในวันที่อากาศดี ป่าเขียวอันแสนร่มรื่นย์ เป็นต้น

          
 4. เก็บข้อมูลทางสุขภาพไว้ในที่ปลอดภัย สถานสุขภาพบางแห่งมีการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของครอบครัวออนไลน์ หรือแม้แต่ในมือถือของคุณเอง ซึ่งทันสมัยและรวมอยู่ในที่เดียวเพื่อความสะดวกในการเข้าไปเช็คประวัติการรักษา การแจ้งเตือนนัดหมายกับแพทย์ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เคยถามคุณหมอไป

          
 5. หันมาบริโภคโฮลเกรน โฮลเกรน หรือ "ธัญพืช" นั้นมีประโยชน์มากกว่าแป้งขาว แถมดีต่อสุขภาพ โดยธัญพืชจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมอย่างช้า ๆ และถูกปล่อยเป็นพลังงานออกมา ทั้งนี้เมื่อร่างกายย่อยอย่างช้า ๆ แล้ว จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ช่างมีประโยชน์เหลือหลายจริง ๆ

เดินเท้าเปล่า

           6. เดินเท้าเปล่าบ้าง รู้หรือไม่ว่าการเดินเท้าเปล่าบนพื้นพรม สนามหญ้าหรือพื้นทรายบ้างเป็นการนวดเท้าแบบเบา ๆ วิธีหนึ่งนะ ลองเดินเท้าเปล่าสัก 10 นาที แล้วผ่อนคลาย ปล่อยใจให้สงบ ช่วยให้คลายเครียดได้นะ ถ้างั้นถอดถุงเท้า โยนรองเท้าทิ้งไป แล้วออกเดินโลด!

          
 7. บันทึกความกังวลในแต่ละวัน ลองพกกระดาษกับปากกาติดตัวไว้ แล้วลองสังเกตุและจดดูว่าวัน ๆนึง เรามีเรื่องกังวลกับสิ่งต่าง ๆ เยอะมั้ยในแต่ละวัน แล้วหันมาทบทวนว่าคุณเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านี้มากเกินไปรึเปล่า  

          
 8. หายใจลึก ๆ เมื่อเห็น "จุด" งงใช่ไหมคะ? เจ้าจุดกลม ๆ ช่วยลดความเครียดได้อย่างไร? หากคุณใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวันลองกำหนดลมหายใจ โดยค่อย ๆ หายใจเข้าและหายใจลึก ๆ (เหมือนกับกำหนดลมหายใจนั่งสมาธิ) เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่คุณสามารถใช้ตัวช่วยได้ด้วยการติดสติ๊กเกอร์ลายจุดกลม ๆ ไว้ตามที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเตือนได้

ออกกำลังกาย

           9. ออกกำลังกาย วิธีขจัดความเครียดโดยไม่ต้องลงทุน แค่ลงแรง เนื่องจากเวลาเราออกแรงให้เหงื่อออก ร่างกายก็จะขับของเสียออกมาและยังช่วยเคลียร์หัวสมองให้โล่งด้วยนะ

          
 10. กินขนมขบเขี้ยว "เครียดน้อย 1 เม็ด เครียดมาก 2 เม็ด" หลายคนคงจำประโยคนี้จากโฆษณาถั่วชนิดหนึ่งได้ ใช่แล้ว! การกินขนมขบเขี้ยวช่วยลดความเครียดได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืชและช็อคโกแลตชิป กินสักหนึ่งกำมือคุณก็พอ เพราะหากกินมากไป ก็จะเครียดเพราะความอ้วนถามหาได้

          
 11. พูดอย่างนุ่มนวล เชื่อมั้ยว่าถ้าเราลองหัดพูดให้นุ่มนวล ละมุนละไม ส่งผลให้ความดันเลือด อัตราการเต้นของหัวใจและความเครียดลดลงได้

          
 12. ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ เมื่อรู้สึกเครียดก็ระบายมันออกมาเลย ไม่ต้องลงไม้ลงมือ แค่เขียนใส่กระดาษไป มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้โกรธทันที แต่ทำให้ความเครียดลดลงได้นะ

          
 13. ร้องเพลงขณะอาบน้ำ น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนทำมากที่สุดแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันทำให้เราผ่อนคลายได้มากขึ้น แถมได้อาบน้ำเย็น ๆ ไปด้วย ชิลสุด ๆ

เทียนหอม

           14. สัมผัสกลิ่นลาเวนเดอร์ เพียงจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆ ในห้องนอนของคุณ จะช่วยทำให้รู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในสวนดอกลาเวนเดอร์แห่งความหอม ลืมชีวิตที่แสนวุ่นวายไปเสียสนิท

           15. ดูหนัง วิธีบำบัดความเครียดอีกวิธีหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำคือ การดูหนัง ไม่ว่าจะดูที่บ้านหรือโรงหนัง เพราะมันช่วยให้เราหลีกหนีความจริงและเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ

          
 16. เข้านอนเร็ว หลายคนคงรู้สึกหงุดหงิดในยามเช้าเวลานาฬิกาปลุก แล้วต้องตื่นขึ้นมากดหลายครั้งๆ นั้นเพราะคุณนอนดึก จึงไม่อยากตื่นในตอนเช้า เพียงแค่คุณปรับเวลาให้นอนเร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายก็พร้อมรับวันใหม่อย่างสดชื่นแล้ว

          
 17. บอกเล่าเรื่องดี ๆ ให้คนอื่นฟัง พูดคุยกับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับคนรู้จัก โดยเล่าในเชิงบวกและกล่าวชื่นชมยินดีพวกเขา สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันและช่วยลดความตึงเครียดลงได้

ความรัก

           18. กุมมือ เคยรู้สึกไหมว่าตอนคุณไม่สบายใจ แล้วมีคนคอยจับมือและอยู่เคียงข้าง ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจากเรื่องที่เครียด นั้นเป็นเพราะการสัมผัสส่งผลบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น

          
 19. ประดิษฐ์งานฝีมือ เชื่อไหมว่าการทำกิจกรรมอย่าง การถักไหมพรมหรือทำหนังสือ โดยใช้เวลาแค่ 20 นาที ช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้นและให้ความสนใจไปกับสิ่งที่ทำให้คุณเพลิดเพลิน ลืมความตึงเครียดไปได้ชั่วขณะ

ทำงานบ้าน

           20. ขยันให้เหมือนผึ้ง หาอะไรทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้านทำ เช่น กวาดบ้านถูบ้าน ทำความสะอาดลิ้นชัก จะได้ไม่อยู่ว่างเฉย ๆ และดูมีคุณค่า ซึ่งสิ่งที่เลือกทำควรจะเป็นงานเบา ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยจนเกินไปแล้วเครียดอีก  

          
 21. เปิดรูปภาพคนที่คุณรัก สังเกตไหมคะ ว่าบนโต๊ะทำงานของคนส่วนใหญ่ของคนทำงาน มักมีภาพของครอบครัวหรือคนที่รักอยู่เสมอ นั้นเพราะว่าเวลาได้มองรูปภาพคนที่คุณรัก จะทำให้มีกำลังใจที่ดีขึ้น

          
 22. จิบโกโก้ร้อน คงเป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนชอบ (โดยเฉพาะสาว ๆ) เพราะนอกจากมีรสชาติ หวาน มัน ที่อร่อยแล้ว กลิ่นหอม ๆ ของโกโก้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย

          
 23. หาเวลาไปนวด นั่นแน่! ไม่ใช่นวดแบบนั้นนะจ๊ะ หนุ่ม ๆ ทั้งหลาย การนวดนี้เป็นการนวดเพื่อให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้น จากการทำงานหรือออกกำลังกาย โดยใช้เวลาสัก 5 นาทีทุกวัน จะนวดเองหรือหาคนช่วยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน แต่เลือกให้ถูกคนล่ะ

อาบน้ำ

           24. มีความสุขกับชั่วโมงการอาบน้ำ ช่วงเวลาในการอาบน้ำ นับเป็นการพักผ่อนชนิดหนึ่ง แต่หลายคนมักจะรีบ ๆ อาบให้เสร็จเร็ว ๆ โดยหารู้ไม่ว่าพลาดช่วงเวลาในการพักผ่อนอีกวิธีหนึ่งไปเสียแล้ว อาจจะสัก 2 - 3 ครั้งต่ออาทิตย์ ใช้เวลาอาบน้ำสัก 20 นาที เพื่อให้ร่างกายได้พักบ้าง

          
 25. ขัดตัว สมัยนี้การขัดตัวกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะนอกจากจะเป็นการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ยังทำให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น

          
 26. การหัวเราะเป็นยาวิเศษ "หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส" คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะทุกครั้งที่เราหัวเราะ ร่างกายก็จะหลั่งสารแห่งความสุขออกมาและยังเป็นวิธการชะลอความแก่อีกทางนึงด้วยนะ

          
 27. ลิสต์เรื่องที่ทำให้มีความสุข หากคุณต้องติดอยู่ในสภาวะรถติดหรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณเครียด อย่าใส่ใจกับมัน แล้วหันมานึกถึงเรื่องราวที่ทำให้คุณมีความสุขสัก 5 อย่างแล้วลิสต์ออกมา นั่นจะทำให้คุณมองวันทั้งวันที่เหลือของคุณในแง่ดีมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่จดไว้ก็จะคอยเตือนว่าคุณมีเรื่องดีดีอะไรเกิดขึ้นบ้างในแต่ละวัน

          
 28. อ่านกวีโปรดของคุณ ลองอ่านบทกวีเล่มโปรดแล้วอ่านออกเสียงออกมาดัง ๆ แล้วทอดอารมณ์ จินตนาการตามบทกวีอันแสนหวานนั้นไปกับมัน เพราะการอ่านบทกวีจะช่วยให้คุณค่อย ๆ หายใจเป็นจังหวะ อย่างช้าๆ ในขณะที่อ่านและปล่อยอารมณ์เพลิดเพลินไปกับมัน

ทำอาหาร

           29. เข้าครัวเฉือนความเครียด หลายคนที่ชอบเข้าครัวคงทราบดีว่าการทำอาหารนั้นสร้างความสุขอย่างหนึ่งให้กับชีวิต เรามักเพลิดเพลินเวลาค่อย ๆ หั่นผักสดเป็นจังหวะ เหมือนเล่นดนตรี ทำให้เราลืมเรื่องวุ่นวายภายนอกไปได้ชั่วขณะ แถมยังทำให้เรามีอาหารแสนอร่อย เป็นรางวัลตบท้ายอีกด้วย

          
 30. ยืดแข้งยืดขา คนเรานั่งทำงานนานๆ ก็ทำให้เมื่อยได้ ถึงจะนั่งโต๊ะทำงานสบาย ๆ ก็เถอะ ลองยืดแข้งยืดขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อซะบ้าง บิดตัวไปมา หมุนศีรษะเบา ๆ ขยับแขนขาเล็กน้อย แค่นี้ก็ช่วยได้แล้ว

          
จากวิธีข้างต้น คงมีส่วนช่วยให้ทุกคนคลายความเครียดลงได้บ้างนะคะ ขั้นตอนง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ สามารถทำได้เป็นกิจวัตร ฉะนั้นจะเครียดไปไย ชีวิตยังมีเรื่องให้ค้นหาความสุขอีกมาก ถ้าเพื่อน ๆ ลองทำแล้วได้ผลดีอย่างไรก็อย่าลืมบอกต่อเรื่องราวดี ๆ แบบนี้ด้วยนะคะ โลกเราจะได้มีคนเครียดน้อยลง

วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ


วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ


สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ 




ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น 

หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น 

หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ 

การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน 

การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

ปัจจุบันคนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้นมีการเลือกรับประทานอาหาร มีการรณณรงค์เรื่องการสูบบุหรี การดื่มสุรา และการออกกำลังกาย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนไทยและคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นมาก สาเหตุที่สำคัญเกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด เมื่อท่านได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดี สมาคมโภชนาการ สมาคมความดันโลหิตสูงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับประทานอาหารซึ่งไม่เน้นเฉพาะพลังงานอย่างเดียว แต่จะเน้นเรื่องสารอาหาร และการออกกำลังกาย หัวข้อที่กล่าวมีดังนี้ 

คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ 
กลุ่มคนทั่วๆไป 

รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา 
ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด 
กลุ่มคนต่างๆ

ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม 
หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก 
หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก 
ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม 

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน 
คำแนะนำ

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล 
การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย 
สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร 
สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน 
สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร 
การจัดการเรื่องน้ำหนัก


ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม) 
การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย 
คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

การออกกำลังกาย 
ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด 
ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น 
ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม 
ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน 
ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน 

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ




เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน 
ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์ 
ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ 
ข้อเท็จจริงบางประการ

ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย 
ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง 
การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า 
การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น 
ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย 
ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี 
เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน 
หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ 
หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน 
หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที 

คำแนะนำชนิดของอาหาร 
รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย 
ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา 
ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม 
ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย 
คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก

เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว 


กลุ่มอาหาร

เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย 
ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา 
ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน 
ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย 
กลุ่มผักและผลไม้

ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง 
การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ 
ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์ 
ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์ 
ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ 
ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์ 
ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์ 
ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์ 

คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน 
รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid 
ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated
and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว 
เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง 
ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty 
สำหรับเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated
fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช 




คำแนะนำสำหรับอาหารจำพวกแป้ง 
รับประทานอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ผักและผลไม้ 
การปรุงอาหารไม่ไส่เกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป 
ป้องกันฟันผุโดยการลดน้ำตาลและเครื่องดื่ม 
การรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ 
สำหรับคนทั่วไปให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยกว่า 2300 มิลิกรัม(ประมาณ 1 ช้อนชา) 
เวลาปรุงอาหารให้ใส่เกลือให้น้อยที่สุด 
สำหรับคนที่เสี่ยงต่อโรคความดํนโลหิตสูง(คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง อ้วน ผิวดำ โรคเบาหวาน)ต้องรับประทานเกลือเพียง 1500มิลิกรัม และรับประทานเกลือโปแตสเซียมวันละ 4700 มิลิกรัม

เห็ดหลินจือ

เห็ดหลินจือ




เห็ดหลินจือ (อังกฤษLingzhi) เป็นยาจีน (Chinese traditional medicine) ที่ใช้กันมานานกว่า 2,000 ปี นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา เห็ดหลินจือเป็นของหายากมีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน และได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีนมีคนนับถือมากที่สุด ได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็น “เทพเจ้าแห่งชีวิต” (Spiritual essence) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ชาวจีนโบราณต่างยกย่องเห็ดหลินจืออย่างเหนือชั้น ว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากจะมีสรรพคุณเหนือชั้นกว่าแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใด ๆ ต่อร่างกาย

สรรพคุณ
ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่า เห็ดหลินจือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น ใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีกำลัง ทำให้ความจำดีขึ้น ทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ชัดเจนดีขึ้น ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสีหน้าแจ่มใส ชะลอความแก่ ส่วนสรรพคุณอื่นๆที่ได้รวบรวมไว้ได้แก่ รักษาและต้านมะเร็ง รักษาโรคตับ ความดันโลหิตสูง ขับปัสสาวะ ปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ ภาวะมีบุตรยาก การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคภูมิแพ้โรคประสาท ลมบ้าหมู เส้นเลือดอุดตันในสมอง อัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดเมื่อย ปวดข้อ โรคเกาต์ โรคเอสแอลอี เส้นเลือดหัวใจตีบ ตับแข็ง ตับอักเสบ ปวดประจำเดือน ริดสีดวงทวาร อาหารเป็นพิษ แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงสายตา และความเชื่อดังกล่าว ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
เห็ดหลินจือได้ถูกบันทึกไว้ว่า มีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมาก กว่า 100 สายพันธุ์ และสำหรับสายพันธุ์ที่นิยมมีสรรพคุณทางยาดีที่สุดคือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) หรือสายพันธุ์สีแดง
เห็ดหลินจือมีสารโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งเป็นสารยับยั้งอาการต่างๆ ข้างต้น เห็ดหลินจือในแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกัน แต่สายพันธุ์ที่มีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุด คือ เห็ดหลินจือสีแดง ซึ่งมีงานวิจัยต่างๆ พบว่ามีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุดในบรรดาเห็ดหลินจือทั้งหมด
ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ เห็ดหลินจือออกมาจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก การเลือกผลิตภัณฑ์ เห็ดหลินจือแดงควรศึกษาตั้งแต่วิธีการเพาะปลูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพราะการจะได้เห็ดหลินจือที่มีคุณภาพที่ดีนั้น ตัวเห็ดหลินจือเอง จะต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งในเรื่องความชื้น แสงสว่าง และสารอาหารที่ได้รับ ส่วนขั้นตอนการแปรรูป ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะถือเป็นกระบวนการที่จะสกัดสารโพลีแซคคาไรด์จากตัวเห็ดเองออกมาให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้การบรรจุภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ควรเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดี เพราะว่าความชื้นจะทำให้เห็ดหลินจือขึ้นราได้ เนื่องจากเห็ดหลินจือค่อนข้างไวต่อความชื้น


 สารสำคัญที่พบในเห็ดหลินจือกว่าร้อยชนิด มีสรรพคุณที่สำคัญทางการแพทย์ได้แก่
1. ฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็ง ในญี่ปุ่นมีการใช้เห็ดหลินจือควบคู่กับเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ช่วยแก้พิษจากรังสี, คีโม เช่น ท้องเสียอักเสบจากการฉายรังสี, เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม, อาการปวดจากพิษบาดแผล
 Shock Therapy  คืออะไร
เข้า ใจว่ากลไกการตายของเซลล์มะเร็งแบบที่เรียก Apoptosis คือ เซลล์ตายไปเอง น่าจะเกิดจากเซลล์ช็อคสลบไป (Dormant) …เหตุที่ลดมาก เพราะศักย์ไฟฟ้า (ORP) ลดลงมาก…เหตุที่ลดมากเนื่องจากฤทธิ์ของ e จากวงนอกของ Ge atom
นักวิจัยพบว่า Ge ในหลินจือมีโครงสร้างพิเศษที่จะดึงซับ e ทำให้ ORP หรือศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนไป…ดูเหมือนว่าไม่มีกลไกนี้ในยาแผนปัจจุบัน
กลไก กำจัดเซลล์มะเร็งนั้น Ge จะเข้าไปจับคู่กับ e ที่ผลิตออกมาจากผนังเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในระยะของการแบ่งตัว ทำให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวไม่ได้
บางตำราก็อธิบายว่า 4e วงนอกของ Ge atom ไปปรับศักย์ไฟฟ้าที่ผนังเซลล์มะเร็ง ทำให้สนามแม่เหล็กรอบเซลล์มะเร็งอ่อนลง เม็ดเลือดขาวกลืนกินจึงเข้าถึงตัวเซลล์มะเร็งได้
การจะลด e ปรับศักย์ไฟฟ้าก็ต้องใช้ e มากพอสมควร…ก็ต้องใช้ปริมาณ Ge มากพอควร จึงจะต่อสู้กับเซลล์มะเร็งจำนวนมากได้…จึงจะทำให้เซลล์มะเร็งช็อคได้…เป็นคำ ตอบว่าทำไมต้องกินหลินจือสกัดในระยะเริ่มรักษามะเร็งวันละ 60 เม็ด
คำตอบ คือ ต้องการฤทธิ์แบบ Shock Therapy นั่นเอง
เมื่อเปรียบเทียบกลไกต้านมะเร็งของแต่ละกลุ่มสารออกฤทธิ์ในหลินจือแล้ว พอจะสรุปได้ว่า
กลูแคนหรือโพลีแซคคาไรด์ เพิ่มความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาวกลืนกินแมคโครฟาจ
ไตรเตอร์พีนอยด์ ขัดขวางขบวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งกำจัดตัวเองตายไปคล้ายยาเคมีบำบัด แต่ปลอดภัยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน
Organic Germanium ใช้ e ปรับศักย์ไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กที่เซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งช็อคตาย หรืออ่อนแรงจนภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าไปกลืนกินทำลายได้
ทั้งไตรเตอร์พีนอยด์ และ Ge ยังเป็นตัวให้ O2 แก่เซลล์หรือช่วยให้เซลล์ประหยัดการใช้ O2มีผลให้มี O2 เหลือใช้ ทำให้ pH เลือดเป็นด่าง อันเป็นภาวะที่เซลล์มะเร็งไม่ชอบเจริญเติบโต
ใช้ขนาดไหน?
ใน หนังสือหลิงจือกับข้าพเจ้า กล่าวว่า การรักษามะเร็งด้วยหลินจือนั้นต้องกินแบบ Shock therapy คือ เริ่มด้วยขนาดสูง เช่น หลินจือสกัดวันละ 60 เม็ด หรืออย่างน้อย 20 เม็ด/วัน เพื่อผลการปรับศักย์ไฟฟ้า อย่าลืมว่าระดับความปลอดภัยของหลินจือมีสูงมาก
ส่วนขนาดปกติสำหรับบำรุงร่างกายนั้นน่าจะเป็น 1 แคปซูล พร้อมวิตามินซี 500 มก.
2. ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด
3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
4. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
5. ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันในสมองและหัวใจ
6. ยับยั้งเชื้อไวรัสในเซลเพาะเลี้ยง เช่น ไวรัสโรคเอดส์ อีสุกอีใส งูสวัด
7. บำรุงและป้องกันตับ มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างพังผืดในโรคตับแข็ง ป้องกันตับจากสารพิษ ช่วยให้ใยแผลเป็นอ่อนนิ่มคลายตัว ไม่ไปรัดเส้นเลือดและเนื้อเยื่อตับ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ตับสร้างเซลล์ใหม่
รักษาโรคตับอักเสบ สามารถลดค่า SGOT และ SGPT ที่สูงเกินมาตรฐานในเลือด
ช่วยเซลล์ตับฟื้นฟูสภาพตับเป็นไขมัน (fatty liver)
8. ผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยให้นอนหลับสนิท
9. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
อย่า ลืมว่า กลูแคนในหลินจือแบบทา ยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเฉพาะที่ เมื่อผสานกับการได้สารอาหารโดยรับประทาน น่าจะเสริมแรงแข็งขันในการช่วยให้ผิวเนียน สดใส ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
10. จากทฤษฏีประหยัดออกซิเจน ใช้แก้โรคป่วยบนที่สูง…หูอื้อ..อึด
 ทฤษฎีประหยัดออกซิเจน
          การมีสารที่ช่วยทำหน้าที่แทน O2 ในการทำความสะอาดขจัดของเสีย ไฮโดรเจนในร่างกาย ยังผลให้ความต้องการที่จะใช้ O2 ของร่างกายลดน้อยลง
ในขณะเดียวกันก็มีการให้ O2 (O2Supply) เพื่อจะใช้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้น
ผลพลอยได้ คือ ทำให้ O2 สำรองในเนื้อเยื่อ (Tissue Oxygen reserve ) มีมากขึ้นด้วย
แล้ว หลินจือช่วยได้อย่างไร?…พบว่าเยอมาเนียม เป็นธาตุที่ทำปฎิกิริยากับ Hydrogen แล้วขจัดมันออกจากร่างกายได้…ความหมายคือ Geในหลินจือขจัดของเสีย H2 แทนO2 ได้ ทำให้มี O2เหลือใช้ถึง 30%
ผลจากการนี้ทำให้อธิบายได้ ว่าทำไมหลินจือช่วยรักษาโรคหัวใจล้มเหลว เส้นเลือดหัวใจตีบ ถุงลมโป่งพอง อาการป่วยบนที่สูง หรือทุกโรคที่สาเหตุจากการขาด O2
Ge ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดง รับออก ซิเจนได้มากกว่าเดิม อย่างน้อย 1.5 เท่า ทำให้เลือดและเซลล์มี O2 เพิ่มขึ้น
ปกติอาหารที่ถูกสันดาปหรือเผาผลาญ ล้วนก่อประจุบวกของ H ทำให้เลือดมีภาวะเป็นกรด ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ปกติ
หาก ได้ O2 หรือ Mg มาทำปฎิกิริยาประจุบวกของ H ® น้ำ (H2O) ซึ่งไม่เป็นพิษ Ge จะช่วย O จับกับประจุบวก H สร้างความสมดุลไฟฟ้า กับขจัดภาวะเป็นกรดออกไป ทำให้เลือดมี O คงเหลือเป็นจำนวนมาก ที่จะใช้บำรุงเซลล์ และต่อต้านเซลล์มะเร็ง ซึ่งเราทราบว่า เซลล์มะเร็งไม่ชอบ O2 คือไม่ชอบเติบโตในที่ที่มี O2 หรือที่ดร.วอร์เบิก สรุปว่า การขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
 11. ช่วยรักษาโรคไตเรื้อรังบางชนิด โดยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น จากฤทธิ์สลายใยแผลเป็น (fibrosis scar)
ฤทธิ์ ต้านพังผืดหดยึด ช่วยให้เซลล์ไตดีขึ้น อันนี้มีรายงานของรศ.พญ.นริสา ฟูตระกูล แห่งคณะแพทย์จุฬา ส่งฤทธิ์เสริมบำรุงไต โดยสามารถลดปริมาณไข่ขาวรั่ว ในโรคไตเรื้อรังอย่างมีนัยยะสำคัญ แตกต่างไปจากการรักษาทั่วไปที่ทำได้ดีที่สุด แค่ชะลอการตายของเนื้อไปให้ช้าลงเท่านั้น
หลายรายมีผลช่วยลดอัตรา การล้างไต หรือเลิกล้างไตได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องร่วมกับการควบคุมอาหารพิษประจำวัน เช่น โปรตีน ไขมัน น้ำตาล กรดต่างๆ ด้วย
ทฤษฎีใยแผลเป็น นพ.บรรเจิด ตันติวิท บรรยายไว้ว่า เมื่ออวัยวะหรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย ด้วยการบาดเจ็บอักเสบ สารพิษหรือการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ก็จะถูกซ่อมแซมด้วยเส้นใย หรือ fibrous tissue ยังผลให้เกิดเป็นแผลเป็น (scar) ซึ่งบางครั้งใยแผลเป็น ทำให้เกิดปัญหามากมายต่อการทำงานของร่างกาย หลิงจือสามารถช่วยละลายเส้นใย ทำให้ใยแผลเป็นอ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลง จึงมีศักยภาพสูงที่จะใช้ในการรักษาโรคหลายโรคที่มีสาเหตุจากใยแผลเป็น
คำว่า ใยแผลเป็นหรือ fibrous scar บางตำราอาจเรียกว่า พังผืดหดยึด หรือการเกิดพังผืดรัดภายหลัง การเกิดบาดแผล เป็นต้น
เมื่อ เกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไฟไหม้ หรือฉายแสงรังสี เซลล์หรือเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะไม่งอกใหม่ ร่างกายจะนำเส้นใยมาซ่อมแซม ผลก็คือ เป็นแผลเป็น
ภายในร่างกายก็มีแผลเกิดได้ ไม่ว่าที่กล้ามเนื้อ ตับ ไต สมอง ฯลฯ
ใย แผลเป็นยิ่งนานก็จะยิ่งแข็งและหดตัว เกิดการรัด ดึง เบียด บีบให้เนื้อเยื่อดีๆ เสียรูปทรงได้ จนทำให้อวัยวะไม่สามารถทำงานตามปกติได้ เช่นที่ลำไส้ก็อาจดึงรั้งจนอุดตัน ที่สมองก็อาจทำให้เป็นลมชักได้
ยา แก้มีไหม…อย่างหนึ่ง คือ สเตียรอยด์ ตัวอย่างที่ใช้ฉีดเข้าไปในแผลเป็นนูน Keloid แต่แผลภายในร่างกายจะฉีดสเตียรอยด์เข้าไปได้อย่างไร…ถ้าใช้การกินก็ต้องใช้ ขนาดสูง ผลคือ พิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกายกลายเป็นเสียมากกว่าได้
สเตียรอยด์ ธรรมชาติจึงเป็นคำตอบ…
หลิน จือสกัดจึงเป็นคำตอบ เพราะหลินจือมี สเตียรอยด์ธรรมชาติ เป็นสารสมุนไพรระดับดีหนึ่ง ซึ่งไม่พบพิษข้างเคียงเหมือนสเตียรอยด์สังเคราะห์
ปัญหาหมอนรองกระดูกแตก แล้วเกิดใยแผลเป็นดึงรั้งกระดูก หรือเส้นรอบบริเวณไปกดบีบรัดเส้นประสาท ก็ผ่อนคลายได้ด้วยทฤษฎีใยแผลเป็น
จึงเป็นทฤษฎีที่อธิบายกลไกว่า ผลจากหมอนรองกระดูกแตกกดทับเส้นประสาททุเลาขึ้นได้ด้วยหลินจือสกัด
ปัญหา ถุงลมโป่งพอง โรคแห่งความเสื่อมที่เกิดจากมลพิษบุหรี่ จนเกิดใยแผลเป็นเต็มปอด ทางแพทย์อาจแก้อาการด้วยสเตียรอยด์ หลินจือจึงช่วยได้ทั้งโดยทฤษฎีใยแผลเป็น และทฤษฎีประหยัดออกซิเจน
ในคศ.1995 คณะแพทย์ม.โอ๊คแลนด์ ได้รายงานว่า Ge ชะลอการเกิดต้อกระจก(cataract ) อีกด้วย
จับ โลหะหนัก สิ่งที่เป็นความหวังนอกเหนือจากกรดแอลฟาไลโปอิคแล้ว Ge ก็มีคุณสมบัติกำจัดโลหะหนักเป็นพิษ (Chelation) เช่น โรคปรอทเป็นพิษ
ที่มีของความรู้นี้มาจากความที่เกรงว่า Ge จะก่อพิษ เนื่องจากเป็นธาตุที่เราไม่คุ้นเคย จึงมีการทดสอบการเกิดพิษในหนู โดยใช้ขนาดความเข้มข้นสูงกว่าที่มีในเห็ดหลินจือ 1000 เท่า ผลปรากฎว่า นอกจากไม่เป็นพิษแล้ว ยังช่วยกำจัดพิษด้วย โดยออกซิเจนรอบสารเยอมาเนียมจะพาธาตุโลหะที่เป็นพิษ เช่น แคดเมียม ปรอท และสารก่อมะเร็งอย่างอื่นไปกำจัดทิ้งพร้อมกับสารเยอมาเนียมส่วนเกิน ร่างกายจึงปลอดภัยต่อการตกค้างของโลหะหนัก
ทำไมรักษาได้หลากหลายโรค?
เมื่อคิดถึงเบต้าแคโรทีน ที่มีการสังเคราะห์นำ
เบต้าแคโรทีนเดี่ยวๆ ไปทดลองรักษาโรคแล้วไม่ได้ผล กลับเป็นพิษภัย เนื่องจากไม่ได้สารพืชทั้งทีม ก็มาถึง หลินจือสกัด โชคดีที่สารสกัดหลินจือได้ออกมาเป็นทีม ไม่ใช่สารเดี่ยว ดังที่กล่าวว่าพบถึงกว่า 252 ชนิด
การที่สารออกฤทธิ์หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลูแคน ไตรเตอร์พีนอยด์ สเตียรอยด์พืช SOD อดีโนซีน ตลอดจนเยอมาเนียม ทำให้ทีมงานออกฤทธิ์ค่อนข้างครอบจักรวาล ได้อย่างน่าอัศจรรย์ในผลิตผลแห่งธรรมชาตินี้
Adaptogen ของGe และสเตียรอยด์ธรรมชาติในหลินจือ ยังช่วยในโรคภูมิเพี้ยน เช่น SLE, โคร์น (crohn’s disease) ลำไส้อักเสบ ถ่ายเป็นเลือด โรคหนังแข็งที่มีอาการผิวหนังหนาตึง หดรัดใบหน้า จนเกิดลักษณะปากเล็กจมูกหดผิวหนังเป็นสีดำคล้ำ เป็นต้น
ตลอดจนอาการหูอื้อ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่, มือสั่น เดินส่าย กัดปากตัวเอง
ผู้ใดควรใช้เห็ดหลินจือแดง
จากสรรพคุณที่มีมากมายทั้งในด้านป้องกันและบำบัดรักษา เห็ดหลินจือแดงจึงเหมาะกับโรคของผู้สูงอายุและวัยก่อนสูงอายุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดอุดตันในสมองและหัวใจ ไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ หอบหืด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ โรคไตเรื้อรัง โรคตับอักเสบ รวมทั้งใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอความแก่
เห็ดหลินจือแดงจากธรรมชาติกับจากโรงเพาะเลี้ยง
ในสมัยก่อน เห็ดหลินจือจะมีอยู่แต่ในธรรมชาติตามป่าหรือตามเขา แต่ปัจจุบันสามารถปลูกได้ในโรงเพาะเลี้ยง ภายใต้การควบคุมสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งอุณหภูมิ แสงแดด และความชื้น จึงทำให้สามารถรักษาสรรพคุณและตัวยาไว้ได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งเก็บเกี่ยวเมื่อดอกเจริญเติบโตเต็มที่ได้ ส่วนเห็ดหลินจือที่โตตามธรรมชาติอาจไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีแมลงสัตว์กัดแทะหรือขึ้นรา จึงมักมีคุณภาพและสารสำคัญด้อยกว่าเห็ดเพาะเลี้ยง
รูปแบบของเห็ดหลินจือแดงที่ใช้รับประทาน
เห็ดหลินจือสามารถนำมาบริโภคได้หลายรูปแบบ คือ
1. ยาต้มแบบโบราณ โดยนำเห็ดหลินจือแห้งที่ฝานแล้วใส่หม้อต้มและเคี่ยว แล้วเอาน้ำมาดื่ม วิธีนี้อาจจะยุ่งยากและไม่สะดวก
2. เนื้อเห็ดหลินจือบดเป็นผงบรรจุแคปซูล
- หากไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหรือเก็บไม่ถูกวิธี อาจทำให้มีเชื้อราปนเปื้อนได้
- วิธีนี้จะมีความเข้มข้นน้อยกว่าแบบสารสกัด และดูดซึมได้ยากกว่า
3. สารสกัดจากเห็ดหลินจือบรรจุแคปซูล เป็นวิธีที่ดีที่สุด
- ได้สารสกัดที่เข้มข้นและรักษาสรรพคุณของสารได้ดีกว่า
- ดูดซึมและออกฤทธิ์ได้ดีกว่า
- มีมาตรฐานการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย
ปัจจุบันมักนิยมบริโภคแบบเม็ดแคปซูล เพราะสะดวกและ   พกพาได้ แต่ควรเลือกชนิดที่เป็นสารสกัดจากเห็ดหลินจือเท่านั้น
กินตอนไหนดี
  Innocent เวลา ที่เหมาะสม คือ ตอนเช้าขณะท้องว่าง ดื่มน้ำมากๆ การมีวิตามินซีร่วมด้วย จะช่วยเพิ่มสรรพคุณ หากลืมก็ใช้เวลาอื่นได้ แต่ให้งดใช้ในผู้ที่ต้องกินยากดภูมิต้านทาน เช่น เป็น SLE หรือผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะอยู่
ควรเริ่มอย่างช้าตั้งแต่อายุ 30 ปี เป็นต้นไป เนื่องจากต่อมไทมัส ซึ่งสร้างภูมิต้านทานเริ่มชะลอการทำงาน
ผลข้างเคียงมีไหม
Embarassedเมื่อเริ่มกินใหม่ ๆ บางคนอาจมีอาการท้องเสีย ซึ่งอธิบายว่าเป็นเสมือนการขับสารพิษออกจากร่างกาย มักเป็นอยู่ 2-3 วันก็หาย
ความ รู้สึกผิดปกติที่อาจพบในผู้บริโภคครั้งแรก คือ ไข้ ไม่สบาย อธิบายว่า Ge ซึ่งละลายน้ำ จะพาสารพิษออกทางปัสสาวะในช่วง Detox นี้ อาจพบว่า 3% ของผู้ใช้มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง นอนไม่หลับ อาจรู้สึกเหมือนเป็นไข้ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าตื่นกลัว เพราะเป็นตัวชี้บ่งว่าการรักษามาถูกทาง เพราะเป็นสัญญาณของการหายป่วย จากการที่ Ge ทำให้อัตราเผาผลาญเพิ่ม ทำนองเดียวกับการกินกระเทียมหรือโสม แล้วร้อนวูบวาบ
นอก จากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ เช่น เวียนศีรษะ ปวดเมื่อย คันตามผิวหนัง ปัสสาวะบ่อย วูบวาบ อาการเหล่านี้เกิดเนื่องจากเห็ดหลินจือช่วยขับสารพิษต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ให้ออกทางระบบขับถ่ายทุกระบบของร่างกาย เช่นปัสสาวะ อุจจาระ ผิวหนัง เหงื่อ เป็นต้น มักมีอาการไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องหยุดกิน แต่ควรดื่มน้ำมาก ๆ
ในด้านความเป็นพิษ พบว่าเห็ดหลินจือมีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายจากการรับประทานนาน ๆ
จากข้อมูลของแต่ละกลุ่มสารสำคัญที่กล่าวมาแล้ว จากการใช้มากว่า 2000 ปี…จากการได้รับการยอมรับกว้างขวางมากขึ้น จนเป็นสากล…แม้กระทั่ง Ge ที่มากเกินยังกลายเป็นคุณในการขับโลหะหนัก คุณสมบัติ Adaptogen ก็คือตัวปรับสมดุลธรรมชาติ ทำให้หลินจือถูกจัดอันดับเป็นสมุนไพรประเภทดี 1
ดี 1หมายถึง มีสรรพคุณที่ระบุหนึ่ง ใช้ขนาดสูงได้โดยปลอดภัยหนึ่ง ใช้เป็นระยะยาวนานได้อีก 1 เทียบได้กับยากลุ่มวิตามิน เมลาโทนินและโสม
ดี 2 หรือปานกลาง หมายถึง มีสรรพคุณรักษาโรคเฉพาะได้ แต่หากใช้ระยะยาวอาจมีพิษสะสม เช่น กลุ่มยาปฎิชีวนะ
ดี 3 หมายถึง มีทั้งสรรพคุณและพิษในเวลาเดียวกัน เช่น ยารักษามะเร็งกลุ่มคีโม
น่าเสียดายที่เขาห้ามเมลาโทนินเป็นเสริมอาหารในเมืองไทย
Ge ละลายน้ำถูกขับออกทางปัสสาวะ จึงไม่เกิดการตกค้างสะสม มีงานวิจัยที่ทำอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งยึดแนวทางของกระทรวงสวัสดิการประเทศญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัดยืนยันว่า Ge 132 มีความปลอดภัย ถึงแม้จะบริโภคสูงถึงวันละ 10 กรัม ก็ไม่พบอันตราย ไม่เป็นพิษและไม่รบกวนระบบสืบพันธุ์